วิธีแก้ปัญหา ลูกติดมือถือ ที่พ่อแม่ต้องรู้

ลูกติดมือถือ

ปัญหา ลูกติดมือถือ ยังคงเป็นเรื่องที่แก้ไขได้ยากในปัจจุบัน เนื่องจากมือถือได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปแล้ว จะเห็นได้จากการใช้มือถือในขณะที่ทำกิจกรรมต่างๆ เช่น นั่งรถประจำทาง ทานอาหาร หรือแม้กระทั่งตอนนอน การที่ลูกติดมือถือ ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับหน้าจอเป็นหลัก จะส่งผลเสียกับลูกเป็นอย่างมาก โดยที่พ่อแม่คิดไม่ถึงเลย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของสภาพร่างกาย สติปัญญา และโดยเฉพาะด้านอารมณ์ของลูก ผลเสียจากการที่ ลูกติดมือถือ 1. โรคสมาธิสั้น  เด็กวัย 3-7 ขวบ มักจะมีความเสี่ยงต่อโรคสมาธิสั้นอยู่แล้ว ซึ่งก็คือมีอาการอยู่ไม่นิ่ง ไม่สามารถอยู่กับอะไรนานๆได้ หากลูกน้อยวัยก่อน 2 ขวบ มีการเล่นมือถือ แท็บเล็ต จะทำให้เขาจดจ่ออยู่กับหน้าจอที่มีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดสมาธิสั้นได้ เมื่อลูกติดมือถือ บวกกับภาวะโรคสมาธิสั้น จะส่งผลกระทบต่อพัฒนาการต่างๆ  2. สายตาสั้น หากลูกติดมือถือ เล่นโทรศัพท์เป็นเวลานาน เพ่งสายตาใกล้จอโทรศัพท์มากๆ จะทำให้รูม่านตาหดเล็กลง และแสงสีฟ้าจากจอมือถือที่มีความยาวคลื่นสูง อาจส่งผลกระทบต่อดวงตาของเด็กในระยะยาวได้ 3. พัฒนาการช้ากว่าเด็กทั่วไป การสื่อสารช้า พูดไม่ชัด ไอคิวต่ำ ขาดทักษะในการสื่อสารและการเข้าสังคม ทั้งหมดนี้เป็นอาการของเด็กที่มีพัฒนาการช้า เพราะการที่ลูกติดโทรศัพท์มากเกินไป ก็อาจทำให้ไม่สนใจสิ่งรอบตัว  4. โรคอ้วน […]

เมื่อ ลูกไม่สบาย พ่อแม่รับมืออย่างไรดี

ลูกไม่สบาย

สิ่งที่คนเป็นแม่กังวลนอกจากการเลี้ยงลูกให้ดีแล้วนั่นก็คือเวลาที่ ลูกไม่สบาย การดูแลเด็กในเวลานี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก โดยเฉพาะเวลาที่ลูกตัวร้อน มีไข้ ถือเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับพ่อแม่เลย หากวัดไข้ลูกแล้วมีอุณหภูมิ 37.8 องศาขึ้นไป แสดงว่าลูกกำลังมีไข้ แต่หากอุณหภูมิสูงถึง 38.5 องศา ถือว่ามีไข้สูงมาก คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ที่ยังทำตัวไม่ถูกในเวลาที่ลูกไม่สบาย วันนี้เรามีวิธีดูแลลูกน้อยมาฝากค่ะ จะทำอย่างไรดีเมื่อเช็ดตัวไข้ไม่ลดเลย เมื่อลูกไม่สบายแน่นอนว่าจะต้องมีไข้สูง การเช็ดตัวลูกน้อยที่ถูกวิธีจะต้องใช้น้ำที่อุณหภูมิประมาณ 27-37 องศา และไม่เกิน 40 องศา จะทำให้หลอดเลือดขยายตัว สามารถระบายความร้อนได้ดี มีขั้นตอนการเช็ดแบบถูกวิธี ดังนี้ 1. เมื่อลูกไม่สบายอาจมีอาการหนาวสั่น ให้ลูกอยู่ในห้องที่มีอุณหภูมิปกติ ไม่ร้อนหรือเย็นเกินไป ก่อนจะทำการเช็ดตัว 2. ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำแล้วบิดหมาดๆ เช็ดตามตัวของลูกตามขั้นตอนดังนี้ • เช็ดบริเวณใบหน้า แล้วนำผ้ามาพักไว้ที่ซอกคอและหลังหูประมาณ 2-3 นาที แล้วนำผ้ากลับไปชุบน้ำใหม่ จากนั้นเช็ดบริเวณหน้าผากและศีรษะ พักผ้าไว้บริเวณหน้าผากประมาณ 2-3 นาที ทำสลับกันไปเรื่อยๆ • เช็ดที่แขนทั้งสองข้างโดยเริ่มจากปลายแขนเข้าหาลำตัว เช็ดซ้ำหลายๆครั้งแล้วพักผ้าไว้บริเวณรักแร้ประมาณ 2-3 นาที    • เช็ดบริเวณลำตัวแล้วพักผ้าไว้ที่หน้าอกนาน […]

แม่และเด็ก เด็กน้อย อารมณ์แปรปรวนเกิดจากอะไรและเหล่า คุณแม่ ต้องทำยังไง

แม่และเด็ก

แม่และเด็ก เป็นปกติอยู่แล้วสำหรับคุณแม่ที่จะต้องกังวลในเรื่องของ ลูกน้อย อยู่แล้ว เมื่อลูกของคุณมีอารมณ์แปรปรวนหรือว่าร้องไห้มากขึ้นและเกิดการหงุดหงิดในเด็กแรกเกิดหรือว่าในช่วงเด็กที่กำลังพัฒนาได้ประมาณ 3-4 เดือน คุณแม่คุณพ่อทุกคนก็คงจะเป็นกังวลว่าลูกของคุณจะมีอาการไม่สบายหรือเป็นไข้หรือไม่ เนื่องจากว่าเด็กส่วนใหญ่ที่ร้องไห้มักจะไม่สบายเนื้อสบายตัวและมีการเป็นไข้ตัวร้อน ไม่สามารถที่จะรับรู้ได้ว่าลูกของคุณเป็นอะไรและรู้สึกอย่างไร ซึ่งหลายคนก็มักจะกังวลในเรื่องนี้แต่สำหรับในส่วนนี้ก็มีส่วนที่ว่าเด็กน้อยเวลาหงุดหงิดหรือร้องไห้เยอะเป็นพิเศษอาจจะเกิดการเจ็บไข้ได้ป่วยหรือไม่สบายตัวก็สามารถที่จะรีบพาลูกของคุณไปพบคุณหมอ เพื่อที่จะได้รักษาทันและรู้ว่าลูกของคุณเป็นอะไรและต้องการอะไร แต่สำหรับเด็กบางคนก็จะมีอารมณ์แปรปรวนที่เกิดจากการพัฒนาการของเด็กน้อยที่กำลังเติบโตจะมีการหงุดหงิดร้องไห้มากขึ้นและอารมณ์แปรปรวนเหมือนของผู้ใหญ่มากขึ้น จากการที่จะเริ่มพัฒนาการจากการกินนมแม่เปลี่ยนมากินอาหารหรือว่ากินข้าวนั่นเอง ซึ่งในส่วนนี้อาจจะมีหลายทางมากที่ลูกของคุณจะรู้สึกเช่นนั้น จึงไม่แปลกใจว่าทำไมพ่อแม่บางคนถึงจะต้องเป็นกังวลในเรื่องนี้และคุณแม่จะต้องรับมืออย่างไรหากลูกของคุณเกิดอาการแปรปรวนอย่างนี้ ก็อย่างที่ทราบว่าอาจจะปรึกษาคุณหมอที่เป็นคนดูแลลูกของคุณหรือจะลองให้ลูกของคุณกินอาหารอ่อน ๆ หากเมื่อมีปัญหาใด ๆ สิ่งสำคัญที่คุณจะต้องเตรียมตัวก็คือการเข้าพบแพทย์พาลูกน้อยของคุณไป ตรวจสุขภาพ เผื่อมีการแปรปรวนของร่างกายคุณหมอจะเป็นคนช่วยแนะนำในส่วนนี้ ซึ่งที่จะถือว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับคุณพ่อ คุณแม่มือใหม่ ที่ไม่รู้ว่าลูกของคุณเป็นอะไรนั่นเอง การที่เด็กวัยประมาณ 1-2 เดือนมีอารมณ์แปรปรวน ก็อาจจะเป็นในเรื่องของการพัฒนาการตามวัยที่เกิดกับเด็กทารกแรกเกิดในช่วง 2-3 เดือน เป็นปกติอยู่แล้ว หากลูกน้อยของคุณร้องไห้หรือมีอาการงอแงก็เป็นสิ่งที่ปกติสำหรับเด็กวัยนี้ แต่ถ้าเกิดมีอาการร้องไห้ชนิดรุนแรงหรือร้องไห้ไม่หยุดทั้งวันทั้งคืนก็ควรที่จะไปปรึกษาคุณหมอและคุณหมอจะแนะนำวิธีการให้กับคุณแม่ว่าต้องทำยังไงหากลูกน้อยมีอาการเหล่านี้ ในอารมณ์ของเด็กทารกหรือเด็กเล็กคุณแม่จะต้องศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้เป็นอย่างดี คู่มือสำหรับคุณแม่มือใหม่เพิ่มเติม เครดิตรูป pexels.com, สลอต

เคล็ดลับ ฝึกลูกนั่งคาร์ซีท ให้มีความสุข

ฝึกลูกนั่งคาร์ซีท

หลายครั้งที่เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน จนกลายเป็นเรื่องน่าเศร้าของใครหลายคน บางครอบครัวสูญเสียเสาหลักของบ้าน แต่บางครอบครัวก็สูญเสียลูกน้อยที่กำลังเติบโต วัยกำลังน่ารักไปอย่างไม่มีวันกลับคืน แต่ในขณะเดียวกันก็ได้เห็นข่าวว่า มีเด็กที่รอดชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนเหล่านี้เช่นกัน จากผลวิจัยของต่างประเทศพบว่า เด็กที่นั่งอยู่ในคาร์ซีทแล้วรถเกิดอุบัติเหตุ จะมีโอกาสปลอดภัยได้ถึงร้อยละ 60-70 เลยทีเดียว หลายคนจึงเห็นความสำคัญของการให้ลูกน้อยนั่งคาร์ซีทขณะเดินทางด้วยรถยนต์ แต่การ ฝึกลูกนั่งคาร์ซีท นั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยเฉพาะเด็กที่เริ่มโต ไม่ค่อยอยู่นิ่ง วันนี้มีเทคนิคฝึกลูกนั่งคาร์ซีทเล็กๆน้อยๆมาฝากค่ะ 1. นั่งคาร์ซีทตั้งแต่เกิด | ฝึกลูกนั่งคาร์ซีท การฝึกลูกนั่งคาร์ซีทไม่จำเป็นต้องทำตอนลูกโต หรือสามารถนั่งได้ตัวเองได้แล้ว แต่สามารถฝึกตั้งแต่เป็นทารกแรกเกิดได้เลย โดยสามารถเลือกคาร์ซีทที่เหมาะกับเด็กแรกเกิดให้ลูกได้ 2. ใจแข็ง อดทนกับเสียงร้องไห้ของลูกให้ได้ | ฝึกลูกนั่งคาร์ซีท ในช่วงแรกคุณแม่ต้องไม่ใจอ่อนเวลาเห็นลูกร้องไห้ ต้องอดทนเพื่อให้การฝึกลูกนั่งคาร์ซีทบรรลุเป้าหมาย ให้ลูกได้คุ้นเคยว่าหากนั่งรถจะต้องนั่งคาร์ซีทเท่านั้น 3. สร้างบรรยากาศในรถ คุณพ่อคุณแม่ควรสำรวจว่าบริเวณที่ลูกนั่งความเย็นจากแอร์ไปถึงหรือไม่ หรือมีแสงแดดส่องเข้ามาตรงที่ลูกนั่งหรือไม่ หากร้อนเกินไปจะทำให้ลูกรู้สึกไม่สบายตัวจนไม่อยากนั่งคาร์ซีท คุณแม่อาจชวนลูกนั่งมองข้าง ทางเป็นการฝึกให้ลูกรู้จักสังเกตสิ่งรอบตัวไปด้วย หรือเปิดเพลงที่ลูกชอบคลอเบาๆ วิธีติดตั้งคาร์ซีทที่ถูกต้อง หลายคนคงเข้าใจว่าคาร์ซีทสามารถให้ลูกนั่งได้ตอนโต แต่จริงๆแล้วสามารถฝึกให้ลูกนั่งได้ตั้งแต่แรกเกิด วันแรกที่ออกมาจากโรงพยาบาลเลย โดยมีวิธีการติดตั้งแตกต่างกันตามช่วงวัย มาดูวิธีติดตั้งและวิธีนั่งคาร์ซีทที่ถูกต้องกันค่ะ เด็กแรกเกิดถึง 12 เดือน ติดตั้งคาร์ซีทไว้เบาะหลัง โดยหันหน้าเข้าหาเบาะหลัง ยึดตัวคาร์ซีทเข้ากับตัวล็อคเข็มขัดนิรภัยของเบาะหน้า […]

การเจริญเติบโต ของ เด็กอ่อน ที่ แม่ ทั้งหลายต้องคอยหมั่นสังเกต

การเจริญเติบโต

การเจริญเติบโต ของเด็กในสมัยนี้ค่อนข้างที่จะโตไว และมีการพัฒนาที่ดีขึ้นมากกว่าสมัยเมื่อก่อนเนื่องจากว่ามีการบำรุงตั้งแต่ในท้อง โดยคุณแม่จะกินอาหารเสริมหรือนมตั้งแต่อยู่ในท้อง ทำให้เด็กที่เกิดมามีการพัฒนาการที่ดีและเติบโตมากขึ้น สามารถที่จะตอบสนองไวต่อโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี สิ่งที่คุณแม่ทั้งหลายควรจะต้องรู้ระวังสังเกตเกี่ยวกับตัวของลูกน้อยในทารกแรกเกิดที่มีการพัฒนาทีละขั้นก็คงจะเป็นในส่วนของรูปร่างลักษณะและตัวของเด็กเอง โดยทั่วไปแล้ว เด็กแรกเกิด จะมีขนาดตัวที่เล็กและเป็นตัวอ่อนการเจริญเติบโตของเด็กจะพัฒนาไปตามแบบฉบับของวัยในแต่ละเดือน คุณแม่ท่านใดที่หมั่นสังเกตการเจริญเติบโตของลูกน้อยก็จะสามารถที่จะรับรู้ได้เลยว่าลูกน้อยของคุณกำลังอยู่ในช่วงวัยไหน เด็กบางคนอาจจะมีการพัฒนาการเติบโตที่เร็วกว่าปกติและเร็วกว่าคนอื่น ดังนั้นในส่วนนี้เองจะทำให้เด็กเหล่านั้นมีพัฒนาการทางด้านสมองและการเจริญเติบโตของรูปร่างได้ดีขึ้น ที่สำคัญเด็กอ่อนจะต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดสำหรับคุณพ่อคุณแม่ วิธีการสังเกตเด็กอ่อนที่กำลังเติบโต | การเจริญเติบโต ดูพัฒนาการของลูกน้อยตัวจะใหญ่ขึ้นร่างกายจะสมบูรณ์แข็งแรงและผมจะค่อย ๆ ดกดำขึ้นจากเดิมจะร้องไห้งอแงมากเป็นพิเศษและในแต่ละช่วงเวลาของเด็กที่กำลังเติบโตนั้นจะเห็นได้ถึงพัฒนาการในการทานอาหารเด็กอ่อนส่วนใหญ่มักจะทานแต่นมแม่และของอ่อน ๆ เด็กที่ก้าวเข้าสู่วัยกำลังโตจะสามารถทานข้าวได้ การเจริญเติบโตของเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกันและการดูแลของคุณพ่อคุณแม่ก็แตกต่างกันไป ล้วนแต่มีคุณภาพด้วยกันทั้งนั้นแต่ละครอบครัวมีความใส่ใจต่อลูกที่ดีมาก ดังนั้นในส่วนนี้เองซึ่งทำให้คุณพ่อคุณแม่รู้ได้ทันทีเกี่ยวกับพัฒนาการทางด้านสมองของลูกน้อยเมื่อมีการเริ่มพูดหรือเริ่มเดินจะทำให้เด็กเหล่านี้เติบโตมาได้ดีและเรียนรู้ได้ไว ส่วนในวัยที่กำลังเติบโตประมาณ 4 ขวบขึ้นไป มักจะเริ่มซนและมีการเรียนรู้ได้ด้วยตนเองสามารถที่จะจดจำคำพูดหรือการกระทำของผู้ใหญ่ได้เป็นอย่างดีและสามารถที่จะมีไหวพริบมีการพัฒนาทางด้านระบบสมองของเด็กวัยนี้ที่กำลังจะเติบโตและเรียนรู้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเด็กในวัยนี้จะเป็นเด็กในวัยที่เริ่มมีความฉลาดและซุกซน ผู้ปกครองหลายท่านคงจะทราบกันดีและเริ่มที่จะปล่อยให้ลูกได้เรียนรู้อยู่กับธรรมชาติในแบบที่ตนเองคอยมองอยู่ห่าง ๆ อ่านบทความเพิ่มเติมhttps://notjustaworkingmom.com/คุณแม่มือใหม่/ เครดิตภาพhttps://google.com/

การเตรียมตัวสำหรับ เด็กที่กำลังโต ที่ คุณแม่ ทุกคนต้องใส่ใจ

เด็กที่กำลังโต

ในช่วงการเติบโตของเด็ก ๆ มี คุณแม่ หลายท่านมักจะมีการเริ่มเตรียมตัวที่จะพาลูก ๆ เข้าสู่โรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนสำหรับเด็กเล็กหรือสำหรับเด็กประถมก็ตาม มักจะเห็นได้ชัดเจนเลยว่าคุณแม่ส่วนใหญ่จะมีการเตรียมพร้อมในเรื่องนี้อย่างมากตั้งแต่เด็กวัย 3 ขวบขึ้นไป คุณแม่เริ่มจะส่งเข้าไปเรียนกับโรงเรียนที่เป็นโรงเรียนสำหรับเด็กเล็กและมีการดูแลและใส่ใจอย่างดี ซึ่งสำหรับการเตรียมตัวเมื่อกำลังจะเข้าสู่วัยเรียนหรือวัยที่กำลังจะก้าวเข้าไปสู่ในโลกภายนอก ที่จะต้องออกจากอกของเหล่าแม่ ๆ ทั้งหลายกันแล้ว เด็กที่กำลังโต คุณแม่ทุกคนก็จะใส่ใจเป็นพิเศษ เชื่อว่าเหล่าคุณแม่ทั้งหลายมักจะเตรียมตัวโดยการหาโรงเรียนอนุบาล ดี ๆ สำหรับ เด็กเล็ก ที่จะให้ลูกของท่านได้เข้าไปเรียน หรือจะเป็นการเตรียมตัวในเรื่องของอีก 1 ขั้น จึงทำให้หลายคนก็คงจะเป็นกังวลในเรื่องนี้ แต่สำหรับเด็กวัยที่กำลังโต ต้องบอกว่าให้คุณแม่เตรียมตัวที่จะฝึกฝนในเรื่องของการเอาตัวรอดในเรื่องของเวลาที่จะออกไปสู่ภายนอกให้ลูกหลานของท่านได้ดูว่าภายนอกนั้นมีอะไรบ้างและจดจำในแต่ละสิ่งให้เป็นอย่างดี สำหรับการเข้าสู่โรงเรียนอนุบาลจะเริ่มตั้งแต่ 3 ถึง 7 ขวบซึ่งก็ถือว่าเป็นเด็กวัยที่กระกำลังซนและกำลังเรียนรู้สิ่งรอบตัวต่าง ๆ ซึ่งเด็กในวัยนี้มักจะมีความจดจำในเรื่องของสิ่งแวดล้อมรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นประเภทอุปกรณ์แม้แต่นกหรือจดจำคำพูดของผู้ใหญ่ ซึ่งถือว่าวัยนี้เป็นวัยที่กำลังก้าวเข้าสู่ การเรียนรู้ ที่ดีที่คุณแม่ทุกคนและผู้ปกครองทุกคนควรจะส่งเสริม เพื่อที่จะได้มีความรู้ในวัยเด็กและก้าวไปเป็นผู้ใหญ่ในวันข้างหน้าได้แบบสมบูรณ์ เป็นสิ่งที่ดีมากและสิ่งสำคัญที่จะต้องใส่ใจกับ เด็กที่กำลังเติบโต เป็นพิเศษก็คงจะเป็นในเรื่องของสภาพจิตใจและความอ่อนโยนที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องมีและเข้าใจในตัวของลูกท่านมากยิ่งขึ้น หากลูกของท่านได้ก้าวเข้าไปสู่ในวัยที่เติบโตมากขึ้นกว่านี้และได้ก้าวออกไปสู่โลกภายนอกด้วยตนเองคุณพ่อคุณแม่ก็ต้องเป็นคนที่ให้คำปรึกษาในทุก ๆ ด้านแก่ลูก และคอยส่งเสริมในการเรียนรู้ต่าง ๆ ให้กับลูกน้อยของท่าน เพื่อวันข้างหน้าจะได้เติบโตแบบมีคุณภาพและมีจิตใจที่ดี ครอบครัวจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะเป็นแรงผลักดันให้แก่เด็ก ๆ ได้ก้าวเข้าไปสู่อีกขั้นของการเติบโตมากขึ้น […]

ทำความรู้จักกับ อารมณ์พื้นฐานของเด็ก ที่พ่อแม่ควรรู้

อารมณ์พื้นฐานของเด็ก

ทำความรู้จักกับ อารมณ์พื้นฐานของเด็ก ที่พ่อแม่ควรรู้ อารมณ์พื้นฐานของเด็ก เป็นสิ่งที่มีมาตั้งแต่เกิด ซึ่งแต่ละคนจะมีพื้นฐานทางอารมณ์ที่แตกต่างกันออกไป ด้วยเหตุนี้เด็กแต่ละคนจึงมีนิสัยที่ต่างกัน บางคนก็เลี้ยงง่าย นอนง่าย แต่บางคนกลับร้องไห้ตลอดทั้งวัน ด้วยความที่อารมณ์พื้นฐานของเด็กต่างกัน การตอบสนองต่อสิ่งต่างๆรอบตัวจึงไม่เหมือนกัน เช่น เด็กที่มาเที่ยวทะเลครั้งแรกแล้วมีอาการตื่นเต้นกับคลื่นทะเล ในขณะที่มีเด็กอีกคนกลัวคลื่นน้ำ นักจิตวิทยาเรียกอารมณ์พื้นฐานของเด็กที่มีมาแต่กำเนิดว่า Temperament โดยผลการวิจัยค้นพบว่าอารมณ์พื้นฐานของเด็กที่จะทำให้เด็กแต่ละคนมีบุคลิกที่แตกต่างกัน มีอยู่ 3 รูปแบบ ได้แก่ เด็กที่เลี้ยงง่าย เด็กเลี้ยงยาก และเด็กที่ปรับตัวช้า เด็กเลี้ยงง่าย เด็กที่มีพื้นฐานอารมณ์ค่อนข้างจะร่าเริง ปรับตัวง่าย กินง่าย นอนง่าย ขับถ่ายง่าย เรียกได้ว่าจัดการเวลาได้อย่างเป็นระบบ เป็นเด็กที่ค่อนข้างจะปรับตัวกับสถานการณ์ใหม่ๆ และเข้ากับผู้อื่นได้ง่าย เด็กกลุ่มนี้จะมีประมาณ 40% ของเด็กทั้งหมด การที่ลูกเป็นเด็กเลี้ยงง่าย น่าเอ็นดู พ่อแม่และคนรอบตัวก็ไม่ควรจะตามใจเขามากเกินไป การตามใจลูกในสิ่งที่ไม่เหมาะสมหรือมากไปอาจจะทำให้ลูกกลายเป็นเด็กเลี้ยงยากในอนาคตได้ พ่อแม่ควรสอนการมีวินัยพร้อมกับให้ความรัก ดูแลเอาใจใส่ด้วยความพอดี เด็กเลี้ยงยาก เด็กในกลุ่มนี้จะมีลักษณะตรงข้ามกับเด็กกลุ่มเลี้ยงง่ายไปเลย พื้นฐานอารมณ์ของเด็กที่เลี้ยงยากค่อนข้างจะแปรปรวน เด็กมักจะร้องไห้บ่อย หงุดหงิดง่าย มีการปรับตัวยาก กินยาก หลับยาก หรือมักจะตื่นขึ้นมาร้องไห้กลางดึก มีการต่อต้านหรือแสดงอารมณ์ที่รุนแรง เด็กเลี้ยงยากมักจะพบใน 10% […]

กล่อมลูกหลับยังไงดี? เทคนิคกล่อมลูกน้อย หลับง่ายๆ ที่พ่อแม่ควรทำ

เทคนิคกล่อมลูกน้อย

กล่อมลูกหลับยังไงดี? เทคนิคกล่อมลูกน้อย หลับง่ายๆ ที่พ่อแม่ควรทำ การนอนหลับถือเป็นสิ่งสำคัญที่ส่งผลต่อพัฒนาการทางด้านร่างกาย และสมองของลูกน้อยให้เจริญเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ เด็กทารกจะใช้เวลาในการนอนนานถึง 16-18 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งแต่ละคนจะมีระยะเวลาในการนอนที่แตกต่างกันออกไป บางคนนอนนานในช่วงกลางวัน แต่จะตื่นบ่อยช่วงกลางดึก หรือบางคนอาจจะนอนหลับสนิทตลอดคืน แล้วตื่นมาเล่นตอนกลางวัน แต่หากลูกน้อยไม่ยอมนอน คุณพ่อคุณแม่จะมี เทคนิคกล่อมลูกน้อย ยังไงให้หลับสนิท ตามมาดูกันเลยค่ะ 1. ทำให้ลูกน้อยรู้สึกผ่อนคลาย พร้อมที่จะเข้านอน | เทคนิคกล่อมลูกน้อย การเตรียมตัวลูกน้อยให้พร้อมก่อนเข้านอน ถือเป็นเทคนิคกล่อมลูกน้อยที่สำคัญ เพราะจะช่วยให้ลูกรู้สึกสบายตัว นอนหลับสบาย อาบน้ำอุ่นให้ลูก การอาบน้ำอุ่นจะทำให้ร่างกายของเราเย็นลง อุณหภูมิของผิวหนังจะค่อยๆเพิ่มขึ้น ทำให้หลอดเลือดมีการขยายตัว เลือดจะไหลเวียนไปที่มือและเท้า ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ควรอาบน้ำให้ลูกน้อย 1-2 ชั่วโมงก่อนเข้านอน เมื่ออาบน้ำให้ลูกน้อยแล้วให้ห่อตัวลูกด้วยผ้านุ่มๆ จะทำให้ลูกรู้สึกสบายตัว ปลอดภัย เป็นเหมือนกันเลียนแบบความรู้สึกของลูกที่เคยอยู่ในครรภ์ของแม่ และยังช่วยลดอาการสะดุ้งตื่นกลางดึกด้วย ผ้าที่ใช้ห่อตัวควรเลือกเป็นผ้าห่มบางๆที่สามารถระบายอากาศได้ดี ที่สำคัญอย่าพันบริเวณรอบคอหรือศีรษะของลูก และอย่าพันแน่นจนเกินไป ให้ลูกสามารถขยับแขน ขา สะโพกได้ 2. สร้างบรรยากาศภายในห้องนอน | เทคนิคกล่อมลูกน้อย การทำให้ห้องน่าอยู่เป็นเทคนิคกล่อมลูกน้อยที่พ่อแม่ควรทำ ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิของห้อง แสงไฟในห้อง […]

7 วิธีพ่อแม่ควรทำอย่างไร เมื่อ ลูกร้องไห้แบบไม่มีเหตุผล

ลูกร้องไห้แบบไม่มีเหตุผล

7 วิธีพ่อแม่ควรทำอย่างไร เมื่อ ลูกร้องไห้แบบไม่มีเหตุผล เมื่อ ลูกร้องไห้แบบไม่มีเหตุผล พ่อแม่จะเกิดคำถามว่าทำไมลูกถึงร้องไห้ ลูกร้องไห้เกิดจากสาเหตุอะไร จนบางครั้งก็หาคำตอบไม่ได้ ซึ่งวัยทารกจะเป็นช่วงที่ลูกๆยังสื่อสารกับคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้มากนัก ดังนั้นการที่ลูกทำท่าทาง หรือลูกร้องไห้แบบไม่มีเหตุผลออกมา คุณพ่อคุณแม่จะต้องพยายามหาสาเหตุว่าลูกกำลังรู้สึกอะไร หรือต้องการอะไร เพราะหลายครั้งที่ลูกร้องไห้แบบไม่มีเหตุผลจนทำให้คุณพ่อคุณแม่กังวล ทำอะไรไม่ถูก ลองใช้วิธีเหล่านี้ปลอบลูกน้อยดูนะคะ 1. พยายามหาสาเหตุขั้นพื้นฐานจากร่างกายของลูก เป็นธรรมดาที่ลูกน้อยจะร้องไห้ออกมาหากไม่สบายตัว เมื่อลูกร้องไห้แบบไม่มีเหตุผลให้คุณพ่อคุณแม่ลองสำรวจลูกว่ามีการขับถ่ายออกมาจนทำให้รู้สึกเลอะหรือไม่ หรือมีมด แมลงที่อยู่ตามที่นอน ผ้าอ้อมกัดลูกหรือเปล่า  2. ใช้เสียงเพลงเบาๆ หรือเสียงธรรมชาติกล่อมลูก คุณพ่อคุณแม่ควรหาตุ๊กตาที่มีเสียงเพลง หรือแผ่นเสียงมาเปิดเพลงคลอเบาๆ เพื่อให้ลูกน้อยได้รู้สึกผ่อนคลายจนหยุดร้องไห้ หรือบางทีอาจจะทำให้ลูกน้อยง่วง จนนอนหลับไปอย่างง่ายดาย 3. อุ้มและปลอบลูก หากไม่มีสิ่งผิดปกติใดๆเกิดขึ้นกับลูก ให้คุณแม่ลองอุ้มลูกแนบอก พร้อมกับลูบหัวและหลัง พูดปลอบโยนด้วยน้ำเสียงนุ่ม อบอุ่น เหมือนตอนที่พูดคุยกับลูกในท้อง วิธีนี้จะทำให้ลูกน้อยสงบลงได้ 4. กล่อมลูกนอนพร้อมสร้างบรรยากาศที่สงบ หากลูกร้องไห้แบบไม่มีเหตุผลในขณะที่กำลังจะนอนหลับ หรือเพิ่งหลับไป ให้คุณพ่อคุณแม่สำรวจว่าร่างกายของลูกมีอาการผิดปกติหรือไม่ หากไม่มีให้กล่อมลูกนอนโดยที่ปรับเปลี่ยนบรรยากาศ หรี่ไฟลงไม่ให้มีแสงจ้าเกินไป และทำให้เงียบที่สุด อย่าให้มีเสียงรบกวน 5. ให้ลูกดูดจุกนมหรือนิ้วมือ เมื่อลูกดูดจุกนมสำหรับเด็กหรือนิ้วมือเป็นจังหวะ จะทำให้ชีพจรของลูกเต้นสม่ำเสมอ จนรู้สึกสงบและผ่อนคลาย […]

7 เทคนิคเลี้ยงลูก ให้เป็นเด็กฉลาด ตามแบบฉบับคุณแม่มืออาชีพ

เทคนิคเลี้ยงลูก

7 เทคนิคเลี้ยงลูก ให้เป็นเด็กฉลาด ตามแบบฉบับคุณแม่มืออาชีพ การเลี้ยงลูกให้เติบโตมีสุขภาพที่ดี เป็นสิ่งที่พ่อแม่ทุกคนตั้งใจจะทำให้ดีที่สุด แต่การเลี้ยงลูกให้เป็นเด็กฉลาด อารมณ์ดี ก็เป็นสิ่งที่พ่อแม่ควรเสริมสร้างให้ลูกได้เช่นกัน การจะเลี้ยงลูกให้มีทั้งไอคิวและอีคิวสูงนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่อาจจะต้องอาศัย เทคนิคเลี้ยงลูก และเคล็ดลับดีๆจากผู้มีประสบการณ์สักหน่อย มาดูกันเลยดีกว่าค่ะว่าจะมีเทคนิคเลี้ยงลูกอย่างไรให้เป็นเด็กฉลาด EQ สูงกันบ้าง ความฉลาดของเด็กไม่ได้มีเพียงการมีพัฒนาการทางด้านร่างกาย การเจริญเติบโต และสติปัญญาตามวัยเพียงอย่างเดียว แต่ในที่นี้ยังรวมไปถึงความฉลาดทางอารมณ์หรืออีคิวด้วย การเลี้ยงลูกให้ฉลาดทางอารมณ์ จึงเป็นสิ่งที่ต้องทำควบคู่ไปกับการพัฒนาร่างกายให้เติบโตตามวัยด้วย 1. ทำกิจกรรมเสริมทักษะในด้านต่างๆกับลูก การให้ลูกเล่นของเล่น ได้ใช้ความคิด ทักษะในการแก้ปัญหา เป็นเทคนิคเลี้ยงลูกที่จะช่วยกระตุ้นความสามารถและศักยภาพของลูกได้ เช่น การเล่นตัวต่อเลโก้ การฝึกวาดรูป หรือให้เขาได้ทำในสิ่งที่ตัวเองสนใจ 2. พูดคุยกับลูกบ่อยๆ พ่อแม่ควรพูดคุยตอบคำถามกับลูกบ่อยๆ ขณะที่ทำกิจกรรม หรือกิจวัตรประจำวัน เช่น ตอนอาบน้ำ กินข้าว หรือตอนนั่งรถออกไปในที่ต่างๆ สอนให้ลูกรู้จักว่าสิ่งนี้เรียกว่าอะไร หรือตอบคำถามลูก หากลูกถามซ้ำๆก็อย่าเพิ่งเบื่อนะคะ 3. ให้ลูกฟังเพลง ร้องเพลง หรือฝึกเล่นดนตรี การให้ลูกได้ฟังเพลงหรือดนตรีบ่อยๆ จะช่วยให้ลูกมีสมาธิมากขึ้น และยังช่วยพัฒนาในเรื่องของความจำอีกด้วย การฝึกเล่นดนตรียังช่วยพัฒนาสมองทั้งซีกซ้ายและขวา และพัฒนาระบบความคิดได้ดี เป็นการเลี้ยงลูกให้ฉลาดทางอารมณ์ ให้เขาผ่อนคลาย […]